ใครแต่งงานกับสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี?
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร แต่งงานแล้ว สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี วันที่ Queen Elizabeth, The Queen Mother อายุ 22 ปีในวันแต่งงาน (22 ปี 8 เดือน 22 วัน) สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร อายุ 27 ปีในวันแต่งงาน (27 ปี 4 เดือน 12 วัน) ช่องว่างอายุ 4 ปี 7 เดือน 21 วัน.
การแต่งงานดำเนินไป 28 ปี 9 เดือน 11 วัน (10513 วัน) การแต่งงานสิ้นสุดลงในวันที่ สาเหตุ: การเสียชีวิตของหัวเรื่อง
สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี

เอลิซาเบธ แองเจลา มาร์เกอริต โบวส์-ลีออน (อังกฤษ: Elizabeth Angela Marguerite Bowes-Lyon; 4 สิงหาคม ค.ศ. 1900 - 30 มีนาคม ค.ศ. 2002) เป็นพระอัครมเหสีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร และเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักรและประเทศในเครือจักรภพตั้งแต่ ค.ศ. 1936 จนพระราชสวามีเสด็จสวรรคตใน ค.ศ. 1952 จึงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับพระราชธิดาพระองค์ใหญ่คือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก่อนการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติของพระสวามีในช่วงระหว่างปี 1923 จนถึงปี 1936 ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นดัชเชสแห่งยอร์ก อีกทั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งไอร์แลนด์และจักรพรรดินีแห่งอินเดียพระองค์สุดท้ายอีกด้วย ประชาชนนิยมเรียกพระองค์ว่า ควีนมัม
เอลิซาเบธซึ่งพระราชสมภพในครอบครัวตระกูลผู้ดีชาวสก็อต ได้กลายมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในปี 1923 เมื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก พระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และ สมเด็จพระราชินีแมรี ในฐานะที่เป็นดัชเชสแห่งยอร์ก พระองค์ พระสวามีและพระธิดาทั้งสองคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ และเจ้าหญิงมาร์กาเรต ได้ทรงปฏิบัติตนตามแบบครอบครัวชนชั้นกลาง ดัชเชสได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจด้านสาธารณชนต่าง ๆ มากมายและเป็นที่รู้จักกันว่า "ดัชเชสผู้แย้มยิ้ม" อันเป็นผลมาจากการปรากฏองค์ต่อหน้าสาธารณชนอยู่เป็นประจำ และเมื่อหลังอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ตจนมีสองพระธิดา วอลลิส ซิมป์สัน ก็ได้เอ่ยล้อเลียนว่าเอลิซาเบธเป็น "แม่ครัวอ้วนชาวสก็อต"
ในปี 1936 เอลิซาเบธได้ทรงกลายเป็นพระราชินีอย่างไม่คาดฝันเมื่อสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 ได้ทรงสละราชสมบัติอย่างกะทันหันเพื่อไปอภิเษกกับนางวอลลิส ซิมป์สัน แม่ม่ายชาวอเมริกันที่เคยหย่าร้างแล้วสองครั้ง ในฐานะสมเด็จพระราชินี พระองค์ได้โดยเสด็จพระราชสวามีไปในการเสด็จเยือนทางการทูตยังประเทศฝรั่งเศสและทวีปอเมริกาเหนือในช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในระหว่างสงครามด้วยความแข้มแข็งเด็ดเดี่ยวที่ไม่ย่อท้ออย่างเห็นได้ชัดทำให้เกิดแรงสนับสนุนทางจิตใจต่อสาธารณชนอังกฤษอย่างมากเท่ากับการสำเหนียกรู้ถึงภาระหน้าที่ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการชวนเชื่อ ได้ทำให้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็น "ผู้หญิงที่อันตรายที่สุดในยุโรป" หลังจากสงครามพระพลานามัยของพระสวามีได้อ่อนแอลงและทรงกลายเป็นม่ายเมื่อพระชนมายุ 52 พรรษา
ในการเสด็จไปประทับยังต่างประเทศของพระเชษฐภรรดาและการเสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถของพระธิดาองค์ใหญ่ตอนพระชนมายุ 26 พรรษาเมื่อสมเด็จพระราชินีแมรีเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1953 พระองค์ได้ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่อาวุโสที่สุดและกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ในช่วงปลายพระชนม์ชีพก็ยังทรงเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์อังกฤษที่มีชื่อเสียงอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่สมาชิกพระราชวงศ์องค์อื่น ๆ ตกอยู่ในการเสื่อมความนิยมจากสาธาณชนมากขึ้น
หลังจากการประชวรและการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงมาร์กาเรต พระธิดาองค์เล็กเพียงไม่นาน พระพลานามัยของพระองค์ก็แย่ลงเรื่อย ๆ และได้เสด็จสวรรคตในอีกหกสัปดาห์ภายหลัง ขณะมีพระชนมพรรษา 101 ปี 238 วัน
อ่านเพิ่มเติม...
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร

สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 (อังกฤษ: George VI of the United Kingdom; 14 ธันวาคม ค.ศ. 1895 — 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952) เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรในราชวงศ์วินด์เซอร์ และเครือจักรภพอังกฤษระหว่าง ค.ศ. 1936 ถึง ค.ศ. 1952 เป็นจักรพรรดิอินเดียพระองค์สุดท้าย (จนกระทั่ง ค.ศ. 1947) และเป็นพระมหากษัตริย์แห่งเสรีรัฐไอริชในทางนิตินัยพระองค์สุดท้าย (จนกระทั่ง ค.ศ. 1949)
พระเจ้าจอร์จที่ 6 เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1895 ณ ตำหนักซานดริงแฮม นอร์โฟลกในอังกฤษ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในพระเจ้าจอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี และครองราชย์ระหว่างวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1936 จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 ที่ตำหนักซานดริงแฮม นอร์ฟอล์ก
พระเจ้าจอร์จที่ 6 มิได้เป็นที่หวังว่าจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินและทรงใช้เวลาสมัยแรกอยู่เบื้องหลังพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 พระเชษฐา ทรงรับราชการในราชนาวีระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังสงครามแล้วก็ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจต่าง ๆ ในสังคม ต่อมาเสกสมรสกับเอลิซาเบธ โบวส์-ลีออนใน ค.ศ. 1923 และมีพระราชธิดาสองพระองค์คือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน
หลังจากพระราชบิดาเสด็จสวรรคตใน ค.ศ. 1936 พระเชษฐาก็ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 แต่ไม่ทันถึงปีพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็มีพระประสงค์ที่จะแต่งงานกับนางวอลลิส ซิมพ์สัน สตรีหม้ายชาวอเมริกัน แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองและทางศาสนา สแตนลีย์ บอลด์วิน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรถวายคำแนะนำว่าการที่จะอภิเษกสมรสกับวอลลิส ซิมป์สันแล้วยังเป็นพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 จึงทรงสละราชสมบัติเพื่อแต่งงานกับวอลลิส ซิมป์สัน เจ้าชายอัลเบิร์ตซึ่งเป็นดยุกแห่งยอร์กในขณะนั้นจึงทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่สามในราชวงศ์วินด์เซอร์ทรงพระนามสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ต่อจากพระเชษฐาซึ่งนักวิชาการได้สันนิษฐานว่าการใช้พระนามจอร์จนั้นเป็นกุศโลบายเพื่อให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนักในการเสวยราชสมบัติของพระองค์
ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากทรงขึ้นครองราชย์รัฐสภาเสรีรัฐไอริชก็ผ่าน “พระราชบัญญัติความสัมพันธ์ภายนอก” (External Relations Act 1936) ซึ่งริบพระราชอำนาจเกือบทั้งหมดของพระองค์ในไอร์แลนด์ (ยกเว้นด้านการทูต) เหตุการณ์อื่น ๆ ที่มีผลในการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในรัชสมัยของพระองค์ได้แก่ 3 ปีหลังจากทรงขึ้นครองราชย์ราชอาณาจักรของพระองค์นอกจากไอร์แลนด์เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อต้านนาซีเยอรมนี สองปีต่อมาก็เข้าสงครามต่อต้านราชอาณาจักรอิตาลีและหลังจากนั้นจักรวรรดิญี่ปุ่น ผลจากสงครามคือการเสื่อมอำนาจของจักรวรรดิบริติชโดยสหรัฐและสหภาพโซเวียตขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแทนที่ ใน ค.ศ. 1947 ขบวนการแยกตัวเพื่ออิสรภาพของอินเดียและปากีสถานก็เริ่มมีความแข็งแกร่งขึ้น สาธารณรัฐไอร์แลนด์ประกาศตัวเป็นอิสระใน ค.ศ. 1949 ในรัชสมัยของพระองค์เป็นสมัยของการสลายตัวของจักรวรรดิอังกฤษไปเป็นเครือจักรภพ
อ่านเพิ่มเติม...