ใครแต่งงานกับEmpress Joséphine?

  • Alexandre de Beauharnais แต่งงานแล้ว Empress Joséphine ในปี ช่องว่างอายุ 3 ปี 0 เดือน 26 วัน.

  • Napoleon แต่งงานแล้ว Empress Joséphine วันที่ โฌเซฟีน เดอ โบอาร์แน อายุ 32 ปีในวันแต่งงาน (32 ปี 8 เดือน 15 วัน) Napoleon อายุ 26 ปีในวันแต่งงาน (26 ปี 6 เดือน 23 วัน) ช่องว่างอายุ 6 ปี 1 เดือน 23 วัน.

    การแต่งงานดำเนินไป 13 ปี 9 เดือน 7 วัน (5029 วัน) การแต่งงานสิ้นสุดลงในวันที่

Empress Joséphine: ไทม์ไลน์สถานะการแต่งงาน

Empress Joséphine

Empress Joséphine

Joséphine Bonaparte (French: [ʒozefin bɔnapaʁt], born Marie Josèphe Rose Tascher de La Pagerie; 23 June 1763 – 29 May 1814) was the first wife of Emperor Napoleon I and as such Empress of the French from 18 May 1804 until their marriage was annulled on 10 January 1810. As Napoleon's consort, she was also Queen of Italy from 26 May 1805 until the 1810 annulment. She is widely known as Joséphine de Beauharnais (French: [ʒozefin boaʁnɛ]) or Empress Joséphine.

Joséphine's marriage to Napoleon was her second. Her first husband, Alexandre de Beauharnais, was guillotined during the Reign of Terror, and she was imprisoned in the Carmes prison until five days after his execution. Through her children by Beauharnais, she was the grandmother of Emperor Napoleon III of France and Empress Amélie of Brazil. Members of the current royal families of Sweden, Denmark, Belgium, and Norway and the grand ducal family of Luxembourg also descend from her. Because she did not bear Napoleon any children, he had their marriage annulled and married Marie Louise of Austria. Joséphine was the recipient of numerous love letters written by Napoleon, many of which still exist.

A patron of art, Joséphine worked closely with sculptors, painters and interior decorators to establish a unique Consular and empire style at the Château de Malmaison. She became one of the leading collectors of different forms of art of her time, such as sculpture and painting. The Château de Malmaison was noted for its rose garden, which she supervised closely.

อ่านเพิ่มเติม...
 
Wedding Rings

Alexandre de Beauharnais

Alexandre de Beauharnais

Alexandre François Marie, Viscount of Beauharnais (French pronunciation: [alɛksɑ̃dʁ boaʁnɛ]; 28 May 1760 – 23 July 1794) was a French politician and general of the French Revolution. He was the first husband of Joséphine Tascher de La Pagerie, who later married Napoleon Bonaparte and became empress of France. Beauharnais was executed by guillotine during the Reign of Terror.

อ่านเพิ่มเติม...
 

Empress Joséphine

Empress Joséphine
 
Wedding Rings

Napoleon

Napoleon

นโปเลียน โบนาปาร์ต (ฝรั่งเศส: Napoléon Bonaparte) หรือชื่อเกิดเป็นภาษาอิตาลีคือ นาโปเลโอเน ดิ บูโอนาปาร์เต (อิตาลี: Napoleone di Buonaparte) มีพระนามเล่นว่า "เลอคอร์ส"(ชาวคอร์ซิกา) หรือ "เลอเปอติ กาโปรัล" (นายสิบน้อย) เป็นรัฐบุรุษและผู้นำทหารชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้บัญชาการทหารปืนใหญ่ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส เขานำการทัพที่ประสบความสำเร็จมากมายในช่วงสงครามปฏิวัติฝรั่งเศส และปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสในพระนามว่า จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ตั้งแต่ปี 1804 จนถึง 1814 และอีกครั้งในช่วงเวลาสั้น ๆ ในปี 1815 ในช่วงสมัยร้อยวัน นโปเลียนครอบงำกิจการในทวีปยุโรปและทั่วโลกนานกว่าทศวรรษ ในขณะที่ได้นำพาฝรั่งเศสเข้าสู้รบกับกลุ่มพันธมิตรประเทศรอบด้านในช่วงสงครามนโปเลียน เขาได้รับชัยชนะในศึกหลายครั้ง และแผ่เขตอิทธิพลกว้างใหญ่ไพศาล เขาก่อตั้งจักรวรรดิขนาดใหญ่ที่ปกครองเกือบทั่วทวีปยุโรปก่อนที่จะล่มสลายในปี 1815 เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ การทำสงครามและการทัพของเขาได้ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาในโรงเรียนวิชาทหารทั่วโลก มรดกทางการเมืองและวัฒนธรรมของนโปเลียนทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้นำที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

นโปเลียนเป็นชาวเกาะคอร์ซิกาโดยกำเนิด นโปเลียนเกิดในครอบครัวชาวอิตาลีที่ค่อนข้างจะเรียบง่าย เพียงไม่กี่เดือนภายหลังจากเกาะแห่งนี้จะถูกผนวกรวมเข้ากับราชอาณาจักรฝรั่งเศส เขาได้เข้ารับราชการทหารในฐานะนายทหารปืนใหญ่ในกองทัพหลวงฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อการปฏิวัติฝรั่งเศสปะทุขึ้นในปี 1789 เขาก็มีตำแหน่งทางทหารสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้รับยศนายพลจากรัฐบาลคณะปฏิวัติในวัยเพียง 24 ปี จนในที่สุดคณะดีแร็กตัวร์ฝรั่งเศสก็แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพแห่งอิตาลี ภายหลังจากที่เขาได้เข้าปราบปรามการก่อจลาจลในวันที่ 13 เดือนว็องเดมีแยร์ ซึ่งทำการต่อต้านรัฐบาลโดยกลุ่มก่อกบฎฝ่ายนิยมเจ้า เมื่ออายุ 26 ปี เขาได้เข้าร่วมปฏิบัติการทหารเป็นครั้งแรกในการต่อกรกับออสเตรียและราชวงศ์อิตาลีที่อยู่เคียงข้างกับราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค และสามารถเอาชนะการรบเกือบทุกครั้งในการพิชิตคาบสมุทรอิตาลีในหนึ่งปี ในขณะที่ได้ก่อตั้ง "สาธารณรัฐน้องสาว" ด้วยการสนับสนุนในท้องถิ่นและกลายเป็นวีรบุรุษสงครามในฝรั่งเศส

ในปี 1798 เขาได้นำคณะเดินทางทหารไปยังอียิปต์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอำนาจทางการเมือง เขาได้ก่อรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน 1799 และกลายเป็นกงสุลเอกแห่งสาธารณรัฐ ภายหลังจากสนธิสัญญาอาเมียงในปี 1802 นโปเลียนได้หันไปสนใจในอาณานิคมของฝรั่งเศส เขาได้ขายดินแดนลุยเซียนาให้กับสหรัฐอเมริกาและเขาได้พยายามรื้อฟื้นทาสในดินแดนอาณานิคมทะเลแคริเบียนของฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาได้ประสบความสำเร็จในรื้อฟื้นทาสในทางตะวันออกของทะเลแคริเบียน นโปเลียนได้ล้มเหลวในความพยายามที่จะเข้าปราบปรามในเมืองแซ็ง-ดอแม็งก์ และดินแดนอาณานิคมที่ฝรั่งเศสเคยอวดอ้างว่าเป็น "ไข่มุกแห่งแอนทิลลีส" ได้กลายเป็นอิสระจนกลายเป็นประเทศเฮติในปี 1804 ความทะเยอทะยานของนโปเลียนและการยอมรับจากสาธารณชนเป็นแรงบันดาลใจให้เขาก้าวไปให้ไกลกว่านี้และเขาได้กลายเป็นจักรพรรดิองค์แรกของฝรั่งเศสในปี 1804 ความแตกต่างที่ยากจะเข้าใจกับบริติชซึ่งหมายความว่าฝรั่งเศสกำลังเผชิญหน้ากับฝ่ายสหสัมพันธมิตรครั้งที่สามในปี 1805 นโปเลียนได้ทำลายฝ่ายสหสัมพันธมิตรนี้ลงด้วยชัยชนะที่เด็ดขาดในการทัพอุล์ม และการได้รับชัยชนะครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์เหนือจักรวรรดิรัสเซียและจักรวรรดิออสเตรียในยุทธการที่เอาสเทอร์ลิทซ์ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

นโปเลียนได้ก่อตั้งพันธมิตรฝรั่งเศส-เปอร์เซียและต้องการที่จะสร้างพันธมิตรฝรั่งเศส-อินเดียขึ้นมาอีกครั้งกับสุลต่านติปู จักรพรรดิอินเดียชาวมุสลิม โดยจัดหากองทัพที่ได้รับการฝึกฝนจากฝรั่งเศสในช่วงสงครามอังกฤษ-มัยซอร์ ด้วยมีจุดมุ่งหมายอย่างต่อเนื่องในการเปิดทางเพื่อเข้าโจมตีบริติชในอินเดีย ในปี 1806 ฝ่ายสหสัมพันธมิตรครั้งที่สี่ได้จับอาวุธปืนลุกขึ้นมาต่อสู้รบกับเขาเพราะปรัสเซียเริ่มกังวลเกี่ยวกับการขยายอิทธิพลทั่วทั้งทวีปของฝรั่งเศส นโปเลียนได้เอาชนะปรัสเซียได้อย่างรวดเร็วในยุทธการที่เยนา–เอาเออร์ชเต็ท จากนั้นกองทัพใหญ่ของเขาได้กรีฑาทัพเข้าลึกไปในยุโรปตะวันออกและทำลายล้างกองทัพรัสเซียในเดือนมิถุนายน 1807 ในยุทธการที่ฟรีดลันท์ จากนั้นฝรั่งเศสได้บีบบังคับให้ประเทศของฝ่ายสหสัมพันธมิตรครั้งที่สี่ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทำการลงนามในสนธิสัญญาทิลซิทในเดือนกรกฎาคม 1807 ได้นำพาความสงบสุขที่ไม่สบายใจมาสู่ทั่วทั้งทวีป ทิลซิทที่มีความหมายว่า น้ำขึ้น ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของจักรวรรดิฝรั่งเศส ในปี 1809 ออสเตรียและบริติชได้ท้าทายฝรั่งเศสอีกครั้งในช่วงสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่ห้า แต่นโปเลียนได้ยึดครองทวีปยุโรปได้อย่างมั่นคง ภายหลังจากได้รับชัยชนะในยุทธการที่วากรัมในเดือนกรกฎาคม

นโปเลียนได้เข้ายึดครองคาบสมุทรไอบีเรีย คาดหวังว่าจะขยายระบบทวีปและขัดขวางการค้าของบริติชกับแผ่นดินใหญ่ในทวีปยุโรป และประกาศให้โฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต พระเชษฐาของพระองค์ ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งสเปน ในปี 1808 สเปนและโปรตุเกสได้ก่อการลุกฮือด้วยการสนับสนุนของบริติช สงครามคาบสมุทรได้กินเวลาถึงหกปี โดยมีการรบแบบกองโจรที่กว้างขวาง และจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในปี 1814 ระบบทวีปทำให้เกิดความขัดแย้งทางการทูตขึ้นมาอีกครั้งระหว่างฝรั่งเศสและรัฐบริวาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ รัสเซีย รัสเซียไม่เต็มใจที่จะแบกรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการค้าที่ลดลงและละเมิดระบบทวีปอยู่เป็นประจำ ทำให้นโปเลียนต้องเข้าสู่สงครามอีกครั้ง ฝรั่งเศสได้เปิดฉากการบุกครองรัสเซียครั้งใหญ่ในช่วงฤดูร้อน ปี 1812 การทัพครั้งนี้ได้ทำลายเมืองต่าง ๆ ของรัสเซีย แต่ไม่ได้รับชัยชนะที่เด็ดขาดอย่างที่นโปเลียนต้องการ ส่งผลทำให้เกิดการล่มสลายของกองทัพใหญ่และเป็นแรงบันดาลใจก่อให้เกิดแรงผลักดันขึ้นมาใหม่เพื่อต่อต้านนโปเลียนโดยศัตรูของพระองค์

ในปี 1813 ปรัสเซียและออสเตรียได้เข้าร่วมกับกองทัพรัสเซียในสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่หกกับฝรั่งเศส การทัพทางทหารที่ยาวนานได้สิ้นสุดลงด้วยกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรขนาดใหญ่ที่เอาชนะนโปเลียนลงได้ในยุทธการที่ไลพ์ซิช แต่ชัยชนะทางด้านกลยุทธ์ของพระองค์ในยุทธการที่ฮาเนาซึ่งได้อนุญาตให้ล่าถอยกลับไปยังแผ่นดินฝรั่งเศส จากนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรได้บุกครองฝรั่งเศสและเข้ายึดครองกรุงปารีสในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1814 บีบบังคับให้นโปเลียนสละราชบังลังก์ในเดือนเมษายน พระองค์ได้ถูกเนรเทศไปยังเกาะเอลบา ด้านนอกชายฝั่งของทัสกานี และราชวงศ์บูร์บงได้รับการฟื้นฟูกลับมาเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง นโปเลียนได้หลบหนีออกจากเกาะเอลบาในเดือนกุมภาพันธ์ 1815 และเข้าควบคุมฝรั่งเศสอีกครั้ง ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ตอบสนองด้วยการก่อตั้งฝ่ายสหสัมพันธมิตรครั้งที่เจ็ดซึ่งได้เอาชนะพระองค์ลงได้ในยุทธการที่วอเตอร์ลู บริติชเนรเทศพระองค์ไปยังเกาะเซนต์เฮเลนาที่ห่างไกลในมหาสมุทรแอตแลนติก พระองค์ป่วยสวรรคตในอีกหกปีต่อมาเมื่อมีพระชน 51 ปีเศษ

อิทธิพลของนโปเลียนที่มีต่อโลกสมัยใหม่ทำให้เกิดการปฏิรูปแบบเสรีนิยมไปสู่ดินแดนจำนวนมากที่พระองค์ได้ยึดครองและเข้าควบคุม เช่น กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ สวิตเซอร์แลนด์ และส่วนขนาดใหญ่ของอิตาลีและเยอรมนีในสมัยใหม่ พระองค์ได้ดำเนินนโยบายเสรีนิยมที่เป็นรากฐานสำคัญในฝรั่งเศสและทั่วยุโรปตะวันตก ประมวลกฎหมายนโปเลียนของพระองค์นั้นมีอิทธิพลต่อระบบกฎหมายของประเทศมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก แอนดริว โรเบิร์ต นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษได้กล่าวว่า"แนวความคิดที่คอยค้ำจุนโลกสมัยใหม่ของเรา - ไม่ว่าจะเป็นคุณธรรมนิยม ความเสมอภาคตามกฎหมาย สิทธิในทรัพย์สิน การยอมรับความต่างทางศาสนา การศึกษาทางโลกสมัยใหม่ การเงินที่ดี และอื่น ๆ - ได้รับการปกป้อง ทำให้เกิดความมั่นคง ประมวลและขยายทางภูมิศาสตร์โดยนโปเลียน" สำหรับพระองค์ที่ได้เพิ่มการบริหารปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีเหตุผลและมีประสิทธิภาพ เป็นอันยุติในการโจรกรรมในชนบท การส่งเสริมวิทยาศาสตร์และศิลปะ การยกเลิกระบอบศักดินาและประมวลกฎหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน

อ่านเพิ่มเติม...
 

สถานที่จัดงานแต่งงาน

ปารีส, แคว้นอีล-เดอ-ฟร็องส์, ประเทศฝรั่งเศส