ใครแต่งงานกับLucija Bauer?
Ernst Wollweber แต่งงานแล้ว Lucija Bauer
ยอซีป บรอซ ตีโต แต่งงานแล้ว Lucija Bauer วันที่ ยอซีป บรอซ ตีโต อายุ 44 ปีในวันแต่งงาน (44 ปี 4 เดือน 24 วัน)
การแต่งงานดำเนินไป 1 ปี 2 เดือน 28 วัน (454 วัน) การแต่งงานสิ้นสุดลงในวันที่ สาเหตุ: การเสียชีวิตของคู่สมรสของหัวเรื่อง
Lucija Bauer

Ernst Wollweber

Ernst Friedrich Wollweber (29 October 1898 – 3 May 1967) was a German politician who was State Secretary of State Security from 1953 to 1955 and Minister of State Security of East Germany from 1955 to 1957.
อ่านเพิ่มเติม...Lucija Bauer

ยอซีป บรอซ ตีโต

ยอซีป บรอซ (Serbo-Croatian Cyrillic: Јосип Броз, ออกเสียง: [jǒsip brôːz]; 7 พฤษภาคม 1892 – 4 พฤษภาคม 1980) มักเป็นที่รู้จักกันว่า ตีโต (; Serbo-Croatian Cyrillic: Тито, ออกเสียง: [tîto]) เป็นนักปฏิวัติลัทธิคอมมิวนิสต์และรัฐบุรุษชาวยูโกสลาฟ ทำหน้าที่ในบทบาทต่าง ๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1943 จนถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1980 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเป็นผู้นำพลพรรค มักจะถือว่าเป็นขบวนการต่อต้านที่มีประสิทธิภาพมากในทวีปยูโรปที่ถูกยึดครอง เขายังทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม ปี ค.ศ. 1953 ถึง วันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 ในขณะที่การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเผด็จการ และความกังวลเกี่ยวกับการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองได้ถูกหยิบยกขึ้น ตีโตได้รับความเห็นเป็นส่วนใหญ่ว่าเป็นเผด็จการผู้มีความเมตตา (Benevolent Dictator)
เขาได้เป็นบุคคลสาธารณรัฐที่ได้รับความนิยมทั้งในยูโกสลาเวียและต่างประเทศ มุมมองที่เป็นสัญลักษณ์รวมกัน, นโยบายภายในประเทศของเขาดำรงไว้ซึ่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของชาติต่าง ๆ ในสหพันธ์ยูโกสลาเวีย เขาได้รับความสนใจจากนานาชาติมากขึ้นในฐานะผู้นำขบวนการไม่ฝักฝ่ายใด เคียงข้างกับ ชวาหะร์ลาล เนห์รูแห่งอินเดีย ญะมาล อับดุนนาศิรแห่งอียิปต์ และกวาเม อึนกรูมาแห่งกานา
บรอซเกิดจากบิดาที่เป็นชาวโครแอตและมารดาที่เป็นชาวสโลวีนในหมู่บ้าน Kumrovec, ออสเตรีย-ฮังการี (ปัจจุบันในโครเอเชีย) ถูกเกณฑ์เป็นทหารในกองทัพ เขามีความโดดเด่นในตัวเขาเอง กลายเป็นจ่าสิบเอกที่มีอายุน้อยที่สุดในกองทัพบกออสเตรีย-ฮังการีในช่วงสมัยนั้น ภายหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกจับกุมโดยทหารจักรวรรดิรัสเซียในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาถูกส่งไปยังค่ายแรงงานในเทือกเขายูรัล เขาได้มีส่วนร่วมในบางเหตุการณ์ของการปฏิวัติรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1917 และสงครามกลางเมืองที่ตามมา
เมื่อเขาเดินทางกลับสู่คาบสมุทรบอลข่านในปี ค.ศ. 1918 บรอซได้เข้าสู่ราชอาณาจักรยูโกสลาเวียที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น ที่เขาได้เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย (KPJ) ต่อมาเขาได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรค (ต่อมาได้เป็นประธานรัฐสภา) ของสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย (ค.ศ. 1939–1980) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ภายหลังจากนาซีได้ส่งกองทัพเข้ารุกรานประเทศ เขาได้เป็นผู้นำขบวนการกองโจรชาวยูโกสลาฟ พลพรรค (ค.ศ. 1941–1945)
ภายหลังสงคราม เขาได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี (ค.ศ. 1944–1963) และประธานาธิบดี(ต่อมาเป็นประธานาธิบดีตลอดชีพ) (ค.ศ. 1953–1980) แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย(SFRY) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1943 จนถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1980 ตีโตได้รับยศตำแหน่งเป็นจอมพลแห่งยูโกสลาเวีย ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในกองทัพยูโกสลาเวีย กองทัพประชาชนยูโกสลาเวีย (JNA) ด้วยชื่อเสียงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มประเทศสองฝ่ายในช่วงสงครามเย็น เขาได้รับเครื่องอิสรยาภรณ์จากต่างประเทศ 98 ชิ้น รวมทั้งเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งบาธ
ตีโตเป็นหัวหน้าผู้ก่อตั้งประเทศยูโกสลาเวียที่สอง สหพันธ์สังคมนิยม ที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1943 จนถึง เดือนเมษายน ค.ศ. 1992 แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งโคมินฟอร์ม เขากลายเป็นสมาชิกโคมินฟอร์มคนแรกที่ท้าทายอำนาจโซเวียตในปี ค.ศ. 1948 เขาเป็นผู้นำเพียงคนเดียวที่ถอนตัวออกจากโคมินฟอร์มในช่วงสมัยโจเซฟ สตาลิน และเริ่มต้นด้วยโครงการสังคมนิยมในประเทศของเขา ซึ่งมีองค์ประกอบของตลาดสังคมนิยม นักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในอดีตยูโกสลาเวีย รวมทั้ง Jaroslav Vaněk ที่เกิดเป็นชาวเช็ก และ Branko Horvat เกิดเป็นชาวยูโกสลาฟ ได้ส่งเสริมรูปแบบของตลาดสังคมนิยมที่ถูกขนานนามว่ารูปแบบอีลิเลียน สถานประกอบการที่สังคมเป็นเจ้าของโดยลูกจ้างของพวกเขาและโครงสร้างแรงงานที่จัดการด้วยตัวเอง พวกเขาได้เข้าแข่งขันในตลาดเปิดและเสรี
ตีโตได้สร้างลัทธิบูชาบุคคลที่ทรงอำนาจอย่างมากรอบ ๆ ตัวเขา ซึ่งได้รับการทำนุบำรุงโดยสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย หลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของเขา
ตีโตพยายามควบคุมความตึงเครียดของกลุ่มชาติพันธุ์โดยมอบหมายอำนาจให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แก่แต่ละสาธารณรัฐ รัฐธรรมนูญยูโกสลาเวีย ปี ค.ศ.1974 กำหนดให้สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียเป็น "สหพันธ์สาธารณรัฐแห่งชาติและเชื้อชาตืที่เสมอภาค โดยอยู่ร่วมกันอย่างอิสระบนหลักการภราดรภาพและเอกภาพในการบรรลุผลประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงและร่วมกัน" แต่ละสาธารณรัฐยังได้รับสิทธิ์ในการตัดสินใจด้วยตนเองและทำการแยกตัวออก ถ้าหากทำผ่านช่องทางกฎหมาย ผลสุดท้าย, โคโซโวและวอยวอดีนา ทั้งสองมณฑลที่มีอำนาจการเลือกตั้งของเซอร์เบียต่างได้รับเอกราชเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมทั้งอำนาจโดยพฤตินัยในรัฐสภาเซอร์เบีย
สิบปีภายหลังจากการถึงแก่อสัญกรรม ลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลายในยุโรปตะวันออกและประเทศยูโกสลาเวียได้เข้าสู่สงครามกลางเมือง
อ่านเพิ่มเติม...